เมืองเวนิส หรือ เวเนเซีย ตามภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองที่คนไทยคุ้นเคยและเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกใฝ่ฝันจะมาเยือนสักครั้งในชีวิต เมืองนี้มีบรรยากาศที่งดงามและโรแมนติกอย่างยิ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น “ห้องรับแขกของยุโรป” ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ด้วยความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ยูเนสโก้จึงได้ขึ้นทะเบียนเวนิสเป็นเมืองมรดกโลกตั้งแต่ปี 1987
แกรนด์คาแนล Grand Canal
แกรนด์คาแนล คลองที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวนิส เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะการล่องเรือกอนโดลา ซึ่งถือเป็นวิธีสัญจรที่โดดเด่นของเมืองนี้ เนื่องจากริมคลองมีทางเดินเพียงเล็กน้อย ทำให้การเดินทางทางน้ำกลายเป็นที่นิยมมาแต่โบราณ สมัยก่อน เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่มาถึงเกาะเวนิสจำเป็นต้องใช้คนพายหลายคน และเมื่อสินค้ามาถึงเกาะก็ต้องถ่ายเทลงเรือเล็กอย่างเรือกอนโดลาเพื่อนำไปแจกจ่ายยังจุดต่างๆ เนื่องจากบางพื้นที่ถูกตัดขาดและไม่มีสะพานเชื่อมต่อ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรือกอนโดลาได้รับความนิยมและกลายเป็นสัญลักษณ์ของเวนิสในปัจจุบัน
การล่องเรือกอนโดลาในแกรนด์คาแนลจะพาคุณเพลิดเพลินไปกับคลองที่ยาวประมาณ 3,800 เมตร และกว้าง 30-90 เมตร ท่ามกลางอากาศที่ดีและบ้านเมืองที่สะอาดเรียบร้อย บ้านเรือนหลากสีสันที่มีอายุนับร้อยปียังคงความงดงามและมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย คุณจะได้ชมสถานที่สำคัญระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง โบสถ์ และสถาปัตยกรรมที่เรียงรายอยู่ริมฝั่งคลอง ล่องเรือในเวนิสจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คุณหลงรักเมืองนี้อย่างแน่นอน!
เมืองเวนิสได้ฉายาหลายชื่อที่สะท้อนเอกลักษณ์และความงดงามของเมืองนี้
-
ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก (Queen of the Adriatic) เพราะเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยในทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งอยู่กลางทะเลอาเดรียติก ทำให้เวนิสมีบรรยากาศโดดเด่นจากการเป็นเมืองเกาะที่มีความงามเหนือธรรมชาติ
- เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water) เป็นอีกฉายาที่เหมาะกับเวนิส เพราะเมืองนี้ล้อมรอบด้วยน้ำ มีคลองใหญ่กลางเมืองที่เรียกว่าแกรนด์คาแนล ซึ่งมีรูปร่างคล้ายตัว S กลับด้าน และยังมีคลองย่อยกว่า 150 สาย การเดินทางในเมืองส่วนใหญ่ใช้การเดินเท้าและเรือแทนถนน ไม่ว่าจะเป็นเรือส่วนตัวหรือเรือสาธารณะอย่าง Vaporetto เรือกอนโดลา หรือแท็กซี่น้ำ
- เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) สะท้อนถึงการที่เมืองเวนิสประกอบด้วยหมู่เกาะเล็กๆ ถึง 118 เกาะ โดยมีสะพานเชื่อมต่อมากกว่า 400 แห่ง ช่วยให้การเดินทางระหว่างเกาะสะดวกขึ้นและเป็นเอกลักษณ์ของเมือง
-
เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) ในยามค่ำคืน เมืองเวนิสสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ระยิบระยับ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคู่รักมักออกมาเดินเล่น ช้อปปิ้ง หรือรับประทานดินเนอร์ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก สร้างความประทับใจและความหวานละมุนที่ยากจะลืม
เรือกอนโดล่า
การมานั่งเรือกอนโดลาในเวนิสนั้น เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ต้องลองจริงๆ แต่เหมือนหญิงปุ๊กจะได้ประสบการณ์ที่แหวกแนวหน่อย คนพายเรือดันไม่ร้องเพลงเสียงก้องๆ เหมือนที่เห็นในหนัง แต่ก็ยังโชคดีได้ยินจากเรือลำอื่นพอให้ได้บรรยากาศบ้าง นึกภาพหญิงปุ๊กนั่งเพลินๆ กับเสียงเพลงที่แว่วมาแต่ไกล ก็คงจะพอชดเชยได้บ้างนะคะ
แต่ในซอยแคบๆ เวลานั่งเรือก็แอบเจอกลิ่นน้ำไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าไหร่ หญิงปุ๊กยังแอบคิดเลยว่า ถ้ามากับแฟนคงมีความโรแมนติกที่ลดลงนิดหน่อย ฮาๆ นี่คงเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวแน่ๆ ถึงขั้นต้องปิดจมูกแล้วนั่งนินทากันขำๆ เลย
และถ้าไปล่องเรือที่ทะเลกว้าง คลื่นคงโหมหน่อย เรือก็โคลงเพราะคลื่นจากทั้งทะเลและเรือยนต์ที่วิ่งผ่านมาเสริมบรรยากาศไปอีก หญิงปุ๊กคงต้องนั่งเกาะแน่นๆ เลยค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในเวนิสที่ต้องไปเยือนให้ได้คือ จตุรัสซานมาร์โค หรือ “ปีอัซซ่า ซานมาร์โค” ตามที่ชาวเวนิสเรียกกัน จตุรัสนี้เป็นลานกว้างที่งดงามและเต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ล้อมรอบ โดยหนึ่งในนั้นคือ หอระฆังแห่งซานมาร์โค (Campanile di San Marco) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดจากมุมสูงของเมือง มองเห็นวิวทั้งเมืองและทะเลที่กว้างไกล
มหาวิหารซานมาร์โค (Basilica di San Marco) เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด ด้วยการสร้างที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตั้งแต่ยุคไบเซนไทน์ถึงเรอเนสซองซ์ พร้อมทั้งแฝงศิลปะตะวันออกไว้ด้วย ภายในมหาวิหารยังเป็นที่เก็บพระศพของเซ็นท์มาร์ค และสามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจคือ หอนาฬิกาตอร์เร เดลโลโรโลโจ (Torre dell’Orologio) ซึ่งมีรูปหล่อสำริดของแขกมัวร์ 2 คนที่ใช้ค้อนทุบระฆังเพื่อบอกเวลาทุกชั่วโมง สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และปิดท้ายด้วยวังดยุคแห่งเวนิส (Palazzo Ducale) พระราชวังเก่าแก่ที่สร้างในสไตล์ยุคกอทิก ซึ่งเต็มไปด้วยความสง่างามและประวัติศาสตร์ของเมือง
จัตุรัสซานมาร์โค Piazza San Marco
จตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สวยที่สุดในอิตาลี และยังเป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเวนิสอีกด้วย รอบลานกว้างแห่งนี้ล้อมรอบด้วยสิ่งก่อสร้างที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นหอระฆัง หอนาฬิกา และโบสถ์ซานมาร์โคที่มีโดมใหญ่ 5 โดมตามศิลปะไบแซนไทน์ สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และทรงเสน่ห์นี้ทำให้โปเลียนถึงกับกล่าวไว้ว่า จตุรัสซานมาร์โคคือ “ห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรป” ง่อออว! เป็นคำชมที่คู่ควรกับความงามของจตุรัสนี้จริงๆ
รอบๆ จตุรัสเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึก บรรยากาศตอนกลางคืนยิ่งโรแมนติกสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อแสงไฟระยิบระยับ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีจากนักดนตรีที่มาบรรเลงสร้างบรรยากาศ ลานกว้างนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของเมือง แต่ยังเป็นลานแห่งความสุขที่นักท่องเที่ยวจะได้รับความประทับใจไม่รู้ลืมค่ะ
มหาวิหารซานมาร์โค Saint Mark’s Basilica
มหาวิหารซานมาร์โค (Basilica di San Marco) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเมืองเวนิสมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 829 และได้รับการยกสถานะเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ. 1094 มหาวิหารแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “โบสถ์ทอง” เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ความงดงามและหรูหราของมหาวิหารสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งและอำนาจของเมืองเวนิส โดยเฉพาะการประดับด้วยโมเสกสีทองและประติมากรรมที่สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง
มหาวิหารซานมาร์โคถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญมาร์ค ผู้เผยแผ่ศาสนาในอียิปต์ที่ถูกประหารในปี ค.ศ. 828 เรื่องราวนี้กลายเป็นตำนานเมื่อพ่อค้าชาวเวนิสได้ขโมยศพของนักบุญมาร์คจากเมืองอเล็กซานเดรียและนำมามอบให้เจ้าผู้ครองเวนิส จึงได้มีการสร้างมหาวิหารนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บรักษาพระศพของนักบุญมาร์ค และกลายเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาและจิตวิญญาณของเมือง
จุดเด่นของมหาวิหารคือซุ้มประตูโค้ง 5 ช่องที่ด้านหน้า ซึ่งแต่ละช่องประดับด้วยโมเสกสีทองและหินมีค่าที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญมาร์คและเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ ภายในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุมากมาย ทั้งภาพจิตรกรรม ม้าบรอนซ์ กระเบื้องโมเสก และหนังสือโบราณอายุกว่า 500 ปี ทำให้สถานที่นี้ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเวนิส แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และชมความงดงามของศิลปะโบราณ
ภายในมหาวิหารซานมาร์โค ความอลังการโดดเด่นด้วยภาพจิตรกรรมโมเสกสีทองที่ประดับอยู่ทั่วแนวหลังคาโค้งและซุ้มประตู สะท้อนแสงระยิบระยับให้เห็นถึงความงดงามแบบไบแซนไทน์ที่ชวนตะลึง นอกจากนี้ยังมีเสาหินกว่า 500 ต้นที่ยืนเรียงรายอย่างสง่างาม พร้อมด้วยรูปปั้นทองคำและสมบัติล้ำค่าอื่นๆ อีกมากมายที่เก็บรักษาไว้ในมหาวิหารนี้
สะพานรีอัลโต Rialto Bridge
นับว่าเป็นสะพานเก่าที่สวยงามและโด่งดังมากที่สุดในเวนิสค่ะ สร้างมาตั้งเเต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 15 มีความสูงกว่า 24 ฟุต สร้างมาจากหินจึงมีความเเข็งเเกร่งเเละสวยงามมากกก ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Antonio Da Ponte ซึ่งออกเเบบเป็นรูปตัววีที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เป็นสะพานที่มีหลังคาคลุมด้วยนะคะ ความสูงนี้ก็เพื่อให้เรือแล่นผ่านไปได้นั่นเอง
โดยตั้งอยู่บริเวณแกรนด์คาแนลและเชื่อมกับย่านซานโปโล บนสะพานมีร้านขายของทีระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เดินเลือกซื้อกันอีกด้วย มีทั้งร้านขายเครื่องเเก้ว เครื่องประดับ เเละงานหัตถกรรมต่างๆ บรรยากาศในช่วงกลางวันนั้นจะคึกคัก ผู้คนนิยมมาชมวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส ส่วนในเวลากลางคืนสะพานนี้จะสว่างขึ้นด้วยแสงจากหลอดไฟและแสงสะท้อนจากผิวน้ำ เหมาะแก่การมาเดินเล่น โรแมนติกฝุดๆ >,<
สะพานริอัลโต เป็นสะพานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสะพานข้าม Grand Canal ทั้ง 4 แห่ง อีก 3 แห่ง คือ สะพาน Ponte degli Scalzi หน้าสถานีรถไฟ, สะพาน Ponte dell Accademia บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ Gallerie dell Accademia และสะพานล่าสุด Ponte della Costituzione เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟกับจัตุรัส Piazzale Roma
หน้ากากเมืองเวนิส
เทศกาลคาร์นิวัลหน้ากากของเมืองเวนิส ถือเป็นหนึ่งในงานคาร์นิวัลสวมหน้ากากที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีต้นกำเนิดตั้งแต่ปี 1268 แต่การสวมหน้ากากอย่างอลังการพร้อมด้วยการแต่งกายสุดหรูหราเริ่มมีขึ้นราวเกือบ 200 ปีหลังจากนั้น ในปี 1436 ช่างทำหน้ากากหรือ “mascareri” ได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมช่างทำหน้ากากอย่างเป็นทางการ และเริ่มจัดงานรื่นเริง โดยเปิดโอกาสให้ชาวเมืองเวนิสทุกคนได้สวมหน้ากากเพื่อปลดปล่อยความสนุกสนานอย่างเสรี
อย่างไรก็ตาม ในปี 1797 หลังจากเมืองเวนิสถูกยึดครองโดยกองทัพของนโปเลียน กษัตริย์ฝรั่งเศส และต่อมาออสเตรีย เทศกาลนี้ก็ถูกสั่งห้ามจัด ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้า และการเต้นรำสวมหน้ากากก็ถูกระงับไปนานหลายปี
แต่ในทศวรรษที่ 1970 ประเพณีดังกล่าวได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่เมื่อกลุ่มอดีตนักศึกษา Academy of Fine Arts เปิดร้านขายหน้ากากสมัยใหม่ในปี 1978 นั่นเองที่ทำให้เทศกาลหน้ากากเวนิสกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง กลายเป็นเทศกาลประจำปีที่สำคัญของชาวเวนิสเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หน้ากากที่ใช้ในเทศกาลคาร์นิวัลของเวนิสมีหลายประเภท ตั้งแต่หน้ากาก Commedia dell’Arte ที่มีลักษณะคลาสสิก หน้ากากแฟนตาซี ไปจนถึงหน้ากากดั้งเดิม เช่น หน้ากากแพทย์จมูกยาวที่มีต้นกำเนิดในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่ในเวนิส หน้ากากแพทย์นี้ออกแบบเพื่อให้แพทย์ไม่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากเกินไป โดยส่วนปลายจมูกยาวของหน้ากากจะถูกบรรจุด้วยยาฆ่าเชื้อช่วยกรองอากาศ
ตลาดรีอัลโต Rialto Market
ตลาดเก่าแก่ที่มีสีสันและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเวนิสคือ ตลาดริอัลโต (Mercato di Rialto) ตั้งอยู่ใกล้สะพานริอัลโต ตลาดแห่งนี้เป็นหัวใจของการค้าและการแลกเปลี่ยนสินค้ามานานหลายศตวรรษ จำหน่ายของสดหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารทะเลสดๆ เช่น ปลาและกุ้ง ปลาหมึก หอย รวมไปถึงผักและผลไม้ที่มีความสดใหม่จากท้องถิ่น
ตลาดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ชาวเวนิสแวะมาเลือกซื้อวัตถุดิบประจำวัน และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจสัมผัสบรรยากาศดั้งเดิมแบบเวนิสแท้ๆ ได้ชมวิถีชีวิตและการค้าที่มีมาตั้งแต่สมัยกลาง ตัวตลาดเต็มไปด้วยสีสันจากแผงสินค้าที่ตั้งเรียงราย และยังคงรักษาความมีเสน่ห์ของตลาดท้องถิ่นที่เก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี
เกาะบูราโน่ Burano
เกาะเมืองลูกกวาด (Burano) แห่งอิตาลี เป็นเกาะเล็กๆ ที่น่ารักและมีเสน่ห์อย่างมาก ตั้งอยู่ในเขตทะเลสาบเวนิส เกาะนี้มีคลองตัดผ่านกลางเมือง ทำให้บรรยากาศที่นี่สงบ แต่กลับเต็มไปด้วยสีสันสดใสจากบ้านเรือนสองฟากคลอง ที่มีสีสันฉูดฉาดและดอกไม้สวยๆ ประดับอยู่ตลอดเส้นทาง ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาเยือนตั้งแต่แรกเห็น
เนื่องจากเกาะมีขนาดเล็ก การเดินเที่ยวรอบเกาะใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ทำได้หมดแล้ว แม้ว่าจะมีคลองตัดผ่าน แต่ก็มีสะพานเล็กๆ เชื่อมระหว่างกันให้สามารถเดินข้ามไปมาได้อย่างสะดวก ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขนมและร้านอาหารที่ให้บริการอย่างไม่ขาดสาย อาหารทะเลที่นี่สดใหม่มาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีอาชีพทำประมง
เมื่อเดินสำรวจเกาะ คุณจะได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่โดดเด่น โดยบ้านแต่ละหลังจะมีสีสันสดใส ซึ่งควรใส่ชุดที่มีสีสันโดดเด่นกว่าสีบ้านเพื่อให้ถ่ายรูปออกมาสวยงามขึ้น ว่ากันว่าการทาสีบ้านต้องขออนุญาตจากทางการ และสีที่ไม่สดใสจะไม่ได้รับอนุมัติ บ้านแต่ละหลังก็จะมีเรือจอดอยู่หน้าบ้าน เนื่องจากผู้ชายทำอาชีพประมง ส่วนผู้หญิงจะทำงานปักผ้าลูกไม้สวยๆ ที่บ้าน จนทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักด้านหัตถกรรมทำลูกไม้ติดอันดับต้นๆ ของอิตาลีเลยทีเดียว!
เสน่ห์ของการมาเวนิสอย่างหนึ่งก็คือความสนุกสนานในการหลงทางในเมืองที่มีเสน่ห์นี้ค่ะ ทางเดินในเวนิสมีลักษณะซับซ้อนและคล้ายกัน ทำให้บางครั้งอาจจะหลงทางได้ง่าย แต่ความน่าตื่นเต้นอยู่ตรงที่เมื่อคุณเดินลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ คุณจะพบกับมุมมองใหม่ๆ ที่สวยงามและไม่คาดคิด
การหลงทางในเวนิสจะนำคุณไปยังสถานที่ที่อาจไม่เคยอยู่ในแผนที่ หรือค้นพบร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีกาแฟอร่อย หรือร้านขายของที่ระลึกที่ไม่ซ้ำใคร เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนโรแมนติกของเมืองนี้ จะทำให้คุณรู้สึกถึงความงดงามและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครได้อย่างแท้จริง
แค่ให้ใจเปิดรับการผจญภัย และปล่อยให้การเดินทางนำทางคุณไปสู่อีกด้านหนึ่งของเวนิสที่รอให้คุณค้นพบ รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักเมืองนี้มากยิ่งขึ้นค่ะ!