เที่ยวชิลี (Chile) หรือ สาธารณรัฐชิลี เป็นประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ค่ะ! ตั้งแต่ทะเลทรายอาตาคามา (Atacama Desert) ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก ไปจนถึงภูเขาแอนดีส (Andes Mountains) ที่สวยงามและมีทิวทัศน์ที่อลังการ นอกจากนี้ยังมีเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ถ้าสนใจธรรมชาติและการผจญภัย ชิลีก็มีทุกอย่างให้ได้สัมผัสเลยค่ะ
เที่ยวเกาะอีสเตอร์ (Easter Island)
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากประเทศชิลีประมาณ 3,700 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมและตั้งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร ทำให้เกาะนี้ได้รับการขนานนามว่า “สะดือของโลก”
เกาะอีสเตอร์เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์และอารยธรรม ภายในอุทยานแห่งชาติราปานุย คุณจะพบกับซากโบราณสถานที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี หนึ่งในความงดงามที่ไม่ควรพลาดคือรูปปั้นโมอาย (Moai) ซึ่งเป็นรูปปั้นหินที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ มีส่วนหัวขนาดใหญ่และกระจายอยู่ทั่วเกาะมากกว่า 600 ตัว รูปปั้นเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ โมอายเป็นการแกะสลักจากหินขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว ซึ่งแต่ละตัวมีลักษณะคล้ายกัน แต่บางตัวจะมีหมวกและบางตัวก็ล้มอยู่บนพื้น สันนิษฐานว่าผลงานเหล่านี้เป็นฝีมือของชาวโปลินีเซียที่อาศัยอยู่ที่นี่เมื่อกว่า 1,000 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เกาะอีสเตอร์ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยอดเยี่ยม การท่องเที่ยวแบบ Eco-Friendly ช่วยให้ธรรมชาติของเกาะยังคงอุดมสมบูรณ์ นอกจากการถ่ายภาพกับโมอายแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเช่าจักรยานเพื่อปั่นรอบเกาะ ดำน้ำตื้น และเล่นเซิร์ฟได้อีกด้วย
เที่ยวอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปย์เน (Torres del Paine)
อุทยานแห่งชาติอตร์เรส เดล ไปย์เน (Torres del Paine National Park) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนของประเทศชิลี เป็นหนึ่งในอุทยานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ด้วยภูมิทัศน์ที่งดงามและความหลากหลายทางธรรมชาติ ภายในอุทยานมีธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ และแม่น้ำจำนวนมาก รวมถึงตั้งอยู่ติดกับภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ที่นี่มีเทือกเขาเดล ไปย์เน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะยอดเขาแกรนิตที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางอุทยาน มีสามยอดที่รู้จักกันในชื่อ “หอคอยแห่งไปย์เน” (Towers of Paine) และเขาของไปย์เน (Paine Horns) ยอดเขาเหล่านี้มีความสูงและรูปร่างที่โดดเด่น เป็นที่ตั้งของกิจกรรมการปีนเขาและการเดินป่าที่น่าตื่นเต้น
อุทยานมีพื้นที่กว้างถึง 181,414 เฮกตาร์ และตั้งอยู่ห่างจากเมืองปอร์โต นาตาเลส (Puerto Natales) ไปทางตอนเหนือประมาณ 112 กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยภูมิประเทศที่ซับซ้อนและแปลกตาเหมาะสำหรับการเดินป่า หนึ่งในจุดที่น่าสนใจคือทะเลสาบเปโอ (Lake Pehoe) ซึ่งเป็นมุมถ่ายภาพที่สวยงามโดยเฉพาะในยามพระอาทิตย์ตกดิน ทะเลสาบนี้มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำไปย์เน (Paine River) และระหว่างทางเดินไปยังทะเลสาบ นักท่องเที่ยวยังสามารถชื่นชมกับทุ่งหญ้าที่ประดับประดาด้วยต้นรองเท้าแตะหรือ ต้นคาลซิโอลาเรีย (Calceolaria Uniflora) ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ตระกูลเดียวกับกล้วยไม้
การปีนเขาก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ ที่ทำให้เราสามารถพิชิตขอบเมฆและมองเห็นวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติได้อย่างกว้างไกล สนุกกับการสำรวจความงดงามของอุทยานแห่งนี้ได้อย่างเต็มที่!
เที่ยวหุบเขาแห่งดวงจันทร์และทะเลทรายอาตากามา (Valle de la Luna and Atacama Desert)
ทะเลทรายอาตากามา (Atacama Desert) ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่วิเศษที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ติดกับคาบสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส โดยมีความยาวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร และมีค่าเฉลี่ยของน้ำฝนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 15 มิลลิเมตร ทว่าบริเวณนี้ยังมีความชื้นเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวเดือนกรกฎาคม เนื่องจากลมที่พัดมาจากขั้วโลกใต้นำพาหิมะและความชื้นมาด้วย หิมะและลมเหล่านี้ยังพาเกลือมาจากคาบสมุทรแอนตาร์กติกา ทำให้เกิดผลึกเกลือที่ตกค้างบนพื้นดินและสร้างพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายพื้นผิวบนดวงจันทร์ ซึ่งมีชื่อว่า “El Valle de la Luna” หรือ “หุบเขาแห่งดวงจันทร์”
หุบเขานี้มีลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นหินผาและภูเขาทรายที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำและลม ทำให้เกิดสีและรูปร่างที่แปลกตา คล้ายกับพื้นผิวบนดวงจันทร์ บางส่วนของพื้นที่ในหุบเขานี้ยังถูกปกคลุมด้วยเกลือสีขาวที่ถูกพัดมาจากทะเล ขั้วโลก ผ่านน่านน้ำแปซิฟิก จนเกิดเป็นรูปปั้นและรูปร่างต่าง ๆ ที่ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ นอกจากผาหินและภูเขาทรายแล้ว ยังมีถ้ำเล็ก ๆ ที่เกิดจากการกัดเซาะอยู่มากมาย ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินที่นี่ ราวกับภาพวาดจากดวงจันทร์ เนินเขาและคราบการปกคลุมจากน้ำทะเลจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ในขณะที่สีม่วงจะเข้ามาเติมเต็มที่แห่งนี้ ดาวน้อยใหญ่จะปรากฏขึ้นบนฟ้าทั้งที่มืด และดวงจันทร์กลมสีขาวนวลจะส่องแสง เป็นภาพที่หาดูยากและน่าทึ่งอย่างยิ่ง การได้มองดวงจันทร์บนพื้นดินแห่งนี้ โอ้โห…มันช่างมหัศจรรย์!
เที่ยวถ้ำหินอ่อน (The Marble Caves)
ถ้ำหินอ่อน (Cuevas de Mármol) ตั้งอยู่ในปาตาโกเนีย ริมทะเลสาบเจเนอเรล คาร์เรรา (Lake General Carrera) ของชิลี และทะเลสาบบัวโนสไอเรส (Lake Buenos Aires) ของอาร์เจนตินา ถ้ำเหล่านี้เกิดจากการกัดเซาะและแรงกระทบจากคลื่นของน้ำทะเล ทำให้มีลักษณะเป็นประติมากรรมกลางทะเลสาบที่สวยงามและมีเอกลักษณ์
ถ้ำหินอ่อนมีอายุมากกว่า 6,200 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมากระแสน้ำได้กัดเซาะหินอ่อนอย่างต่อเนื่อง สีสันที่เห็นในภาพไม่ใช่สีของหินอ่อนแท้ ๆ แต่เป็นการสะท้อนของสีที่เกิดจากการกระทบของหินอ่อนกับน้ำในทะเลสาบ ทำให้เกิดเป็นสีสันที่สวยงามและเคลื่อนไหวอยู่บนชั้นหิน สีสันเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาในวันและฤดูกาล โดยช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพที่สวยงามและมีสีสดใสที่สุดคือในช่วงเช้า เนื่องจากในช่วงกลางวันและเย็น แสงแดดจะเริ่มตก ทำให้การสะท้อนแสงเข้าถึงด้านในของถ้ำได้ไม่ดีเท่าช่วงเช้า
การเดินทางไปสำรวจถ้ำหินอ่อนนั้นจะต้องโดยสารเรือเล็ก ขนาดประมาณ 4-6 คน เพื่อเข้าใกล้ชิดกับภายในถ้ำ ผ่านช่องแคบ ๆ ที่ต้องลอดเข้าไป ระยะเวลาของทัวร์จะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที รวมไปกลับจากฝั่ง สัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติในที่แห่งนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ!
เที่ยวซานติอาโก (Santiago)
ซานติเอโก เมืองหลวงของประเทศชิลี เป็นศูนย์กลางของความเจริญและมีประชากรหนาแน่นที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม และก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1541 เมืองนี้ถือเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมทางการเมืองและแหล่งการเงินที่สำคัญ มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยก่อนศตวรรษที่ 19 สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ทำให้ซานติเอโกดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
ย่านดาวน์ทาวน์ของซานติเอโกเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักมารวมตัวกัน โดยเฉพาะที่พลาซ่าเดอมาส (Plaza de Armas) ซึ่งเป็นจัตุรัสสำคัญและเก่าแก่ของเมือง ภายในอาคารที่ตั้งอยู่รอบจัตุรัสมีที่ทำการไปรษณีย์ และที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงพระที่นั่งของอัครสังฆราชแห่งซานติเอโกเดอชิลี
ซานติเอโกยังมีเสน่ห์จากถนนต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยศิลปะ ร้านค้าและแกลลอรี่ที่นำเสนอผลงานศิลปะท้องถิ่น รวมถึงตลาดแฮนด์เมดที่เป็นจุดขายของฝากที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเทือกเขาแอนดีส ที่เป็นแบล็คกราวของเมืองได้อย่างชัดเจน การเยือนซานติเอโกจึงเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในประเทศชิลี!
เที่ยวอุทยานแห่งชาติเลากา (Lauca National Park)
อุทยานแห่งชาติเลากา ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงของเทือกเขาแอนดีสทางตอนเหนือสุดของชิลี ติดกับเขตแดนระหว่างประเทศโบลิเวียและเปรู ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,379 ตารางกิโลเมตร สภาพภูมิประเทศที่นี่เป็นกึ่งทะเลทราย และถือเป็นเขตสงวนชีวมณฑล (Reserve of the Biosphere) ของประเทศชิลี
อุทยานแห่งชาติเลากาเป็นที่รู้จักในด้านความหลากหลายของสัตว์และพืช รวมถึงวิวทิวทัศน์ที่งดงาม สัตว์มากมายกว่า 100 สายพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่ เช่น สัตว์ตระกูลลามะ อัลปากา และวิคูนา ซึ่งถูกเรียกว่า “ราชินีแห่งเทือกเขาแอนดีส” นอกจากนี้ยังมีนกอีกหลายชนิด เช่น นกกระทา นกแขวก นกฟลามิงโกชิเลียน นกเป็ดน้ำยักษ์ นกเหยี่ยว และแร้ง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับการเดินทัวร์ริมทะเลสาบชุงการาที่ลึกถึง 33 เมตร
หนึ่งในไฮไลท์ที่น่าประทับใจของอุทยานคือภูเขาไฟสามลูกที่ตั้งเด่นอยู่กลางอุทยาน ได้แก่ ภูเขาไฟปารินาโคตา ภูเขาไฟพอเมอเรป และภูเขาไฟอะโคตันโด ซึ่งมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี แม้ว่าอุทยานจะมีภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย แต่ด้วยที่ตั้งบนที่ราบสูงทำให้อากาศในเขตนี้ค่อนข้างหนาวเย็น โดยอุณหภูมิโดยเฉลี่ยในตอนกลางวันอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในช่วงเวลากลางคืนอยู่ที่ -3 ถึง -25 องศาเซลเซียส การเยือนอุทยานแห่งชาติเลากาจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด!
เที่ยวธารน้ำแข็งซานราฟาเอล (San Rafael Glacier)
ซานราฟาเอลกลาเซียร์ เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศชิลี ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตรบนทะเลน้ำแข็งแห่งพาทาโกเนียน ธารน้ำแข็งนี้เป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบซานราฟาเอล (Lake San Rafael) ในเขตอุทยานแห่งชาติลากูน่าซานราฟาเอล (Laguna San Rafael National Park)
แม้ว่าซานราฟาเอลกลาเซียร์จะได้รับความนิยมน้อยกว่าเทียบกับธารน้ำแข็งอื่นๆ ในพาทาโกเนียน แต่การเดินทางมาที่นี่ไม่ควรพลาดหากมาเยือนชิลี การเข้าถึงธารน้ำแข็งจำเป็นต้องใช้เรือคายัค ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ได้รับความสนใจน้อยจากนักท่องเที่ยว เนื่องจากการพายเรือไปยังธารน้ำแข็งต้องใช้ความพยายามและเวลา
เมื่อถึงจุดหมายของการทัวร์คายัค นักท่องเที่ยวจะได้พบกับก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ปลายสุดของทะเลสาบซานราฟาเอล โดยมีความกว้างประมาณ 4 กิโลเมตรและสูงจากระดับน้ำ 70 เมตร ในระหว่างการพายเรือ ควรรักษาระยะห่างจากธารน้ำแข็งเพื่อป้องกันอันตราย เนื่องจากธารน้ำแข็งนี้ยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้เกิดคลื่นที่กระทบกับเรือและเสียงดังของก้อนน้ำแข็งที่แตกออก การเยือนซานราฟาเอลกลาเซียร์จึงเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติในพาทาโกเนียน!
เที่ยวอนุสรณ์สถานธรรมชาติลอสพินกวินอส (Los Pingüinos Natural Monument)
อนุสรณ์สถานธรรมชาติลอสพินกวินอส (Los Pingüinos Natural Monument) เป็นอาณานิคมของเพนกวินที่ใหญ่ที่สุดในชิลี ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของเพนกวินแมกเจลแลน (Magellanic Penguin) กว่า 60,000 คู่ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองปุนตาอาเรนัส (Punta Arenas) ประมาณ 32 กิโลเมตร โดยต้องข้ามช่องแคบมาเจลลัน (Strait of Magellan)
ภายในอนุสรณ์สถานนี้มีสองเกาะหลัก ได้แก่ เกาะแมกดาเลนา (Magdalena Island) และเกาะมาร์ตา (Marta Island) ซึ่งเป็นที่สำคัญสำหรับฤดูผสมพันธุ์ของเพนกวิน เกาะแมกดาเลนามีขนาดประมาณ 85 ตารางกิโลเมตร และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่าเกาะมาร์ตาที่มีขนาดเล็กกว่าเพียง 12 ตารางกิโลเมตร ทั้งสองเกาะอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรป่าสงวนแห่งชาติของชิลี (National Forest Corporation of Chile, CONAF)
นอกจากเพนกวินแล้ว นักท่องเที่ยวยังมีโอกาสได้พบกับสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เช่น สิงโตทะเล แมวน้ำขนอเมริกัน นกกาน้ำสีดำ และนกนางนวลโลมา ซึ่งเป็นนกหายากที่ใกล้สูญพันธุ์
สำหรับการเดินทางไปยังอนุสรณ์สถานธรรมชาตินี้ นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือในเมืองปุนตาอาเรนัส ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ โดยเที่ยวเรือจะมีให้บริการเฉพาะวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์เท่านั้น เรือจะพาไปส่งที่เกาะแมกดาเลนา ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นและถ่ายรูปกับเพนกวินและสัตว์ทะเลต่างๆ ได้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่าบริการสำหรับทริปนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000 เปโซชิลี (ประมาณ 2,400 บาท) สำหรับผู้ใหญ่ และ 25,000 เปโซชิลี (ประมาณ 1,200 บาท) สำหรับเด็ก
เที่ยวพูคอน (Pucón)
พูคอน (Pucón) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในเชิงเขาของเทือกเขาแอนดีส ห่างจากซานติเอโกประมาณ 780 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบบียาร์รีกา (Lake Villarrica) ซึ่งมีภูเขาไฟบียาร์รีกา (Villarrica Volcano) ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากตัวเมือง โดยภูเขาไฟแห่งนี้ยังคงมีการปะทุอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดกลุ่มควันขึ้นจากยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
เมืองพูคอนถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งและการผจญภัย เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่โดดเด่น ทั้งภูเขาไฟ ทะเลสาบ น้ำตกในเขตอนุรักษ์ และน้ำพุร้อน ในช่วงฤดูร้อน เมืองนี้จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการสนุกไปกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น การเดินป่า ล่องแพ ขี่ม้า ดูนก ตกปลา เล่นเรือใบ และอาบแดดที่หาดทรายสีขาวปลายาบลังกา (Playa Blanca)
นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำทรานคูรา (Trancura River) ที่เป็นแม่น้ำสายหลักของเมือง ซึ่งเหมาะสำหรับการพายเรือคายัคและสำรวจหลุมอุกกาบาต รวมถึงการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติบียาร์รีกา ที่มีทัศนียภาพสวยงาม สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาในช่วงฤดูหนาว การเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดบนเนินเขาของภูเขาไฟบียาร์รีกาก็เป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน
เที่ยวบัลปาราอิโซ (Valparaiso)
บัลปาราอิโซ (Valparaíso) หรือเรียกสั้นๆ ว่า บัลโป (Valpo) เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของชิลี และยังเป็นแหล่งศูนย์กลางของวัฒนธรรม ตั้งอยู่ห่างจากซานติเอโกประมาณ 120 กิโลเมตร เมืองนี้มักถูกเรียกว่า “หุบเขาสวรรค์แห่งชิลี” เนื่องจากมีความงดงามของภูมิทัศน์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย บัลปาราอิโซมีชื่อเสียงจากสีสันสดใสของตึกบ้านช่องที่ถูกตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ รวมถึงสถาปัตยกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง คล้ายกับอัฒจันทร์ที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้น ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองและมหาสมุทรแปซิฟิก
การเดินเที่ยวชมเมืองเพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเรือและการถ่ายรูปกับจิตรกรรมบนผนังต่างๆ เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด นอกจากนี้ การนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อชมวิวของเมืองก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่แนะนำ เมื่อไปถึงจุดหมายบนยอดเขา นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความสวยงามของภูมิทัศน์เมืองท่าเรือ และหากเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จะได้สัมผัสกับบรรยากาศโรแมนติกเมื่อเมืองถูกประดับไปด้วยดวงไฟน้อยๆ จากบ้านเรือนต่างๆ ถือเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจมากเลยทีเดียว!