ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในฝัน

Search for:

Search
10 สุดยอดเมืองท่องเที่ยวในจอร์แดน

10 สุดยอดเมืองท่องเที่ยวในจอร์แดน

จอร์แดนเป็นประเทศเล็กๆ ในตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าทึ่ง ทั้งด้านสถาปัตยกรรมโบราณและธรรมชาติที่งดงาม เมื่อพูดถึงจอร์แดน หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือ นครเปตรา มหานครลึกลับที่ถูกแกะสลักลงในหน้าผาหินสีชมพู สร้างความประทับใจด้วยความอลังการและประวัติศาสตร์อันยาวนาน เปตราเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง

 

เที่ยวเมืองเปตรา (Petra)

เปตรา หรือ นครศิลาสีกุหลาบ (The Rose City) เป็นสถานที่ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของวิหารเอล-คาซเนท์ (Al-Khazneh or The Treasury) ที่ถูกแกะสลักจากหน้าผาหินสีชมพู จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ นครเปตราถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาบาเทียนเมื่อกว่าพันปีที่แล้ว พวกเขาสร้างสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งทั้งๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเจาะภูเขาหินสูง 40 เมตร กว้าง 28 เมตรเป็นมหาวิหารที่มีความงดงามและสมบูรณ์แบบ แสดงถึงความสามารถอันล้ำเลิศของชาวนาบาเทียน

เมื่อเข้าสู่เปตรา คุณสามารถเดินลัดเลาะผ่านช่องแคบซอกหิน (Siq) หรือเลือกนั่งรถม้าก็ได้ เส้นทางนี้จะพาคุณไปสู่จุดชมวิวแรกที่แสดงให้เห็นความอลังการของวิหารสีชมพูอมแดง (เทรชเชอรี่) วิวนี้น่าทึ่งจนทำให้หลายคนต้องตะลึง หลังจากชมความงดงามของเทรชเชอรี่แล้ว คุณยังสามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวที่สูงกว่าซึ่งเป็นที่นิยม หรือเลือกนั่งลาขึ้นไป ซึ่งทั้งสนุกและท้าทาย

โรงละครโรมันในเปตรานั้นเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาด สร้างจากการแกะสลักภูเขาหิน จุผู้ชมได้ประมาณ 8,500 คน และมีประวัติอันยาวนานที่น่าศึกษา หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์พิเศษ คุณสามารถเดินข้ามภูเขาและขึ้นบันไดกว่า 800 ขั้น หรือจะนั่งลาก็มีบริการ ให้คุณไปชม Monetary หรือวิหารศักดิ์สิทธิ์ ที่กษัตริย์ใช้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา

ในช่วงค่ำคืน วันจันทร์ พุธ และพฤหัสบดี ยังมีงาน Petra by Night ที่น่าตื่นตาตื่นใจ จุดเทียนสว่างไสวด้านหน้าเทรชเชอรี่พร้อมแสดงแสงสีเสียง และการแสดงเต้นรำพื้นเมือง เริ่มตั้งแต่เวลา 20.30 ถึง 22.30 น. การชม Petra by Night จะทำให้คุณรู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและมีเสน่ห์

การเดินทางไปเปตราแนะนำให้มีเวลาอย่างน้อยสองวัน เพื่อให้สามารถสำรวจทุกมุมของเมืองโบราณนี้ได้อย่างเต็มที่

 

เที่ยวทะเลสาบเดดซี (Dead Sea)

ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครในโลกเลยค่ะ ความพิเศษของทะเลสาบนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำที่เค็มที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังตั้งอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในโลกอีกด้วย เป็นทะเลปิดที่ไม่เชื่อมต่อกับมหาสมุทร ทำให้ความเค็มเข้มข้นมากจนทำให้คุณสามารถลอยตัวอยู่บนน้ำได้โดยไม่ต้องพยายาม ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุกและชิลล์สุดๆ นักท่องเที่ยวมักจะนอนลอยตัวอ่านหนังสือบนน้ำโดยไม่ต้องกังวลเรื่องจมเลย

ความเข้มข้นของเกลือที่มากกว่าทะเลทั่วไปถึง 6 เท่า ทำให้เดดซีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่น นักท่องเที่ยวที่มาเยือนมักจะชื่นชอบการพอกโคลนจากเดดซี ซึ่งเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพ การพอกโคลนนี้ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น และมีสรรพคุณในการรักษาโรคทางผิวหนังด้วย เป็นเหมือนสปาธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวพรรณไปพร้อมกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ทะเลสาบเดดซีไม่เพียงเป็นสถานที่แห่งความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งบำรุงความสวยงามที่ยอดเยี่ยมไปด้วยในตัว

 

เที่ยวทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum)

ทะเลทรายวาดิรัม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หุบเขาแห่งพระจันทร์” ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของจอร์แดน เป็นหนึ่งในทะเลทรายที่มีความงดงามและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติ ทะเลทรายสีเหลืองทองตัดกับหน้าผาสูงชันที่แสดงฝีมือการแกะสลักของชาวนาบาเทียน ซึ่งถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงอารยธรรมโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนนี้ และยังได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2011

วาดิรัมยังเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับการผจญภัยในทะเลทรายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถโฟร์วีลไต่เนินทรายที่ตื่นเต้นเร้าใจ การเล่นเซิร์ฟบนเนินทรายที่ท้าทาย หรือการขี่อูฐชมวิวทะเลทรายที่ชวนให้บันทึกภาพสวยๆ ยามเย็นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการชมพระอาทิตย์ตกดิน และรับประทานอาหารไก่อบใต้ดินตามแบบชาวเบดูอิน ซึ่งมีกลิ่นหอมเครื่องเทศที่ชวนลิ้มลอง

เมื่อถึงกลางคืน ที่นี่มอบประสบการณ์การพักผ่อนใต้แสงดาวอย่างสุดโรแมนติก มีที่พักให้เลือกทั้งแบบกระโจมที่ตกแต่งแบบดั้งเดิม หรือแบบแคมป์สไตล์ยานอวกาศที่มีความสะดวกสบายอย่างหรูหรา ทั้งห้องอาบน้ำและอ่างจากุซซี่ ซึ่งทำให้การเข้าพักในทะเลทรายเป็นประสบการณ์ที่หรูหราและน่าประทับใจมาก ยามค่ำคืนท่ามกลางความเงียบสงบและหมู่ดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้การท่องเที่ยวในวาดิรัมสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

 

เที่ยวเมืองอควาบา (Aqaba)

อ่าวอควาบา (Gulf of Aqaba) เป็นเมืองชายฝั่งที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจอร์แดน และเป็นประตูสู่ทะเลแดงที่สำคัญสำหรับประเทศนี้ เนื่องจากเป็นทางออกทะเลเพียงแห่งเดียวของจอร์แดน ทำให้อควาบามีความสำคัญอย่างมากทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว เขตเศรษฐกิจพิเศษของอควาบาได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย การลงทุน และอุตสาหกรรมที่มีความคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและนักลงทุน

อควาบาเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศยอดนิยมริมทะเลแดง มีรีสอร์ทสุดหรู สปาผ่อนคลาย ร้านอาหารเลิศรส และร้านค้าแบรนด์เนมที่ดึงดูดใจนักช็อปด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่าย อ่าวอควาบายังเป็นจุดดำน้ำที่โด่งดังมาก เพราะน้ำทะเลใสราวกับกระจก ทำให้สามารถมองเห็นปะการังสีสันสวยงาม และชีวิตใต้ท้องทะเลที่หลากหลาย

ความพิเศษของอ่าวนี้คือความเป็นอ่าวนานาชาติ เพราะตั้งอยู่บนชายฝั่งที่ติดกับประเทศอียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน และซาอุดีอาระเบีย นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอควาบาจึงสามารถสัมผัสบรรยากาศของการเที่ยวทะเลที่เชื่อมต่อถึงสี่ประเทศในจุดเดียวกัน นับเป็นจุดท่องเที่ยวที่คุ้มค่าและเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้มาเยือน

 

เที่ยวเมืองเจราชยุคโรมัน (The Roman city of Jerash)

เมืองเจราช หรือที่เรียกกันว่า “เมืองพันเสา” มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะหนึ่งในสิบหัวเมืองเอกของอาณาจักรโรมันที่สำคัญในตะวันออกกลาง ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 200 ปีก่อนคริสตกาล เจราชจึงถือเป็นเมืองโบราณที่ยังคงรักษาสภาพสมบูรณ์ได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อเข้าสู่เมืองผ่านซุ้มประตูหินโค้งกษัตริย์เฮเดรียน (Arch of Hadrian) ซึ่งสูงถึง 11 เมตร นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสสถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เช่น น้ำพุที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 191 เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขา และเทวสถานอาร์ทีมิส ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสง่างามที่สุดในเมืองนี้

นอกจากนี้ เจราชยังมีสนามแข่งม้าฮิปโปดรอม ที่เคยใช้สำหรับการแข่งขันม้าและการแสดงขนาดใหญ่ สามารถจุผู้ชมได้หลายพันคน และโรงละครโบราณที่จุผู้ชมได้กว่า 3,000 คน ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมืองนี้อย่างมาก

โอวัลพลาซ่า หรือจัตุรัสวงรีที่มีเสาคอรินเทียมเรียงรายมากกว่า 160 ต้น ถือเป็นจุดเด่นที่ทุกคนต้องไปเยือน รูปทรงวงรีของโอวัลพลาซ่านี้ทำให้เจราชกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจอร์แดน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองโรมันโบราณอย่างแท้จริง

 

เที่ยวเมืองอัมมาน(Amman City)

อัมมาน เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้ง 7 ลูก เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปี จึงไม่แปลกที่เมืองนี้จะเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือโรงละครโรมัน (Amman Roman Theatre) ซึ่งนับว่าเป็นโรงละครที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 138-161 ในสมัยของจักรพรรดิ Antonius Pius โรงละครสามารถจุผู้ชมได้ถึง 6,000 คน และถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ โดยที่นั่งระดับแรกใกล้กับเวทีสงวนไว้สำหรับชนชั้นปกครองหรือบุคคลสำคัญ ระดับกลางสำหรับทหาร และระดับบนสุด หรือที่เรียกว่า “The Gods” สำหรับประชาชนทั่วไป การแบ่งที่นั่งในลักษณะนี้แสดงถึงการจัดชั้นทางสังคมในสมัยนั้น

นอกจากนี้ อัมมานยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม เช่น วิหารเฮอร์คิวลิสสมัยโรมัน ที่ตั้งอยู่ในป้อมปราการโบราณของเมือง พิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่จัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ รวมถึงพระราชวังเก่าที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในยุคโรมัน

 

เที่ยวภูเขาเนโบ (Mount Nebo)

การเดินทางไปยังภูเขาเนโบ (Mount Nebo) เป็นการตามรอยความเชื่อทางศาสนาที่สำคัญ ภูเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 817 เมตร และเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพของโมเสส ผู้เป็นศาสดาในศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม บนยอดเขามีการก่อสร้างโบสถ์ และพิพิธภัณฑ์ขึ้น เพื่อเป็นการระลึกถึงโมเสส หนึ่งในจุดที่น่าสนใจคือหินแกะสลักขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Kuffer Abu Badd ซึ่งเคยใช้ในการเปิด-ปิดถ้ำในยุคไบเซนไทน์

สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างบนยอดเขา คือการจำลองไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของโมเสส ที่ตั้งไว้บริเวณจุดชมวิวสูงสุด จุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์แบบพานอรามาได้กว้างไกลสุดสายตา ทะเลสาบเดดซี และดินแดนแห่งพันธะสัญญาในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอล ยามเย็นแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบภูเขาและทะเลทรายจะยิ่งทำให้บรรยากาศที่นี่สวยงามและขลังมากยิ่งขึ้น

 

เที่ยวเมืองแห่งโมเสก (Madaba City)

เมืองมาดาบา เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของศิลปะแห่งโมเสกระดับโลก อยู่ห่างจากอัมมานเพียง 33 กิโลเมตร ศิลปะโมเสกของเมืองนี้มีความโดดเด่นและสะท้อนถึงฝีมืออันละเอียดอ่อนของช่างศิลป์ยุคโบราณ โดยเฉพาะที่โบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George’s Church) ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลต์สำคัญของเมืองนี้

ภายในโบสถ์ ทั้งประตู หน้าต่าง เสา และผนังถูกตกแต่งด้วยโมเสกที่ทำจากแก้ว หิน และกระเบื้องชิ้นเล็กๆ ต่อกันอย่างประณีต สีสันฉูดฉาดสะดุดตา แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือภาพโมเสกที่พื้นโบสถ์ เป็นแผนที่แห่งแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (Map of the Holy Land) ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนโมเสกกว่า 2.3 ล้านชิ้น เรียงต่อกันจนเกิดเป็นภาพที่งดงามและละเอียดลออ แสดงให้เห็นถึงภูเขา แม่น้ำ หมู่บ้าน และเมืองสำคัญต่างๆ อย่างกรุงเยรูซาเลม ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลสาบเดดซี และอียิปต์ งานศิลปะชิ้นนี้จึงถือเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก

 

เที่ยวเขตอนุรักษ์ธรรมชาติดานา (Dana Nature Reserve)

เขตอนุรักษ์ธรรมชาติดานา ตั้งอยู่ในภาคกลางตอนใต้ของจอร์แดน เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญในการอนุรักษ์ต้นไม้และสัตว์ป่าในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์หายากอย่างแมวป่าคาราคัล (Caracal) แพะทะเลทราย (Nubian ibex) และเหยี่ยวเล็กพันธุ์ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Lesser kestrel)

ในเขตอนุรักษ์นี้มีความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมทั้งกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าสนใจ เช่น การเดินป่า ปั่นจักรยานดูนก และการตั้งแคมป์ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนอนดูดาวได้ในยามค่ำคืน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวนับล้านดวง หากคุณเป็นคนที่รักธรรมชาติและการผจญภัย ที่นี่คือสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด!

 

เที่ยวทะเลแดง (Red Sea)

ทะเลแดง หรืออ่าวอาหรับ ตั้งอยู่ในอ่าวอควาบา เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะตำนานที่เล่าว่าโมเสสได้ใช้ไม้เท้าชูขึ้นเหนือน้ำเพื่อแหวกทะเลและพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์อย่างปลอดภัย ที่นี่ไม่เพียงแต่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ยังมีความงามของธรรมชาติที่รอให้คุณสัมผัส

เมื่อคุณไปถึงทะเลแดง คุณสามารถดำน้ำลึกเพื่อสำรวจโลกใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ หรือจะล่องเรือท้องกระจกเพื่อชมปะการังและความงามของน้ำทะเลสีแดงที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบกับภูเขาดินฝั่งจอร์แดน ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ และอิสราเอล ก็ช่วยทำให้ทะเลมีสีสันสดใสและน่าทึ่ง ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและความสวยงามของธรรมชาติ!

 

 

รวบรวมสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวรอบโลก

เที่ยวนอก