ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในฝัน

Search for:

Search

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในมอลตา Malta

มอลตาเป็นจุดหมายที่น่าสนใจมากจริงๆ! ด้วยสถาปัตยกรรมที่หลากหลายและความงามของทะเล ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์เฉพาะตัว นอกจากการเล่นน้ำทะเลแล้ว คุณยังสามารถสำรวจประวัติศาสตร์อันยาวนานของมอลตาได้ที่เมือง Valletta ซึ่งเป็นเมืองหลวง หรือจะไปที่ Mdina เมืองเก่าที่มีบรรยากาศสุดโรแมนติกก็ไม่เลวเลย ถ้าคุณชอบกาแฟ ที่นี่ก็มีคาเฟ่เก๋ๆ ให้เลือกมากมาย แถมยังมีอาหารท้องถิ่นที่อร่อย เช่น Pastizzi หรือ Fenkata (จานที่ทำจากกระต่าย) ที่ควรลอง! ส่วนการเดินทางภายในมอลตาก็สะดวกมาก มีรถบัสบริการทั่วทั้งเกาะ หากคุณต้องการสัมผัสทั้งสามเกาะ คุณอาจจะลองนั่งเรือเฟอร์รีก็ได้ สนุกสุดๆ เลย!

 

เที่ยววัลเลตตา และเมืองสามเมือง (Valletta and the Three Cities)

วัลเลตตา (Valletta) น่าสนใจมากจริงๆ! เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เข้มข้น ทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่น สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในสมัยอัศวินเซนต์จอห์นด้วย พอเดินเล่นในเมืองนี้ก็คงจะรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในศตวรรษที่ 16 เลยใช่ไหม? นอกจากวัลเลตตาแล้ว สามเมือง (The Three Cities) ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน วิตตอริโอซา (Vittoriosa) ที่มีบรรยากาศเก่าแก่และเงียบสงบเป็นที่น่าสนใจให้ผู้มาเยือนได้สำรวจ ประทับใจกับอาคารเก่าแก่และถนนแคบๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เมื่อเดินไปที่นั่นก็จะสัมผัสได้ถึงชีวิตในยุคกลาง ความงามของทะเล และบรรยากาศโรแมนติกที่เหมาะแก่การถ่ายภาพ! นอกจากนี้ การมีเรือสำราญและเรือยอร์ชเข้ามาที่ท่าเรือก็ช่วยเสริมให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาและพัฒนาเศรษฐกิจได้ดี การไปเที่ยวที่นี่จึงไม่ใช่แค่การเดินชมวิว แต่ยังเป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมอลตาด้วยค่ะ!

 

เริ่มต้นที่ประตูเมืองวิตตอริโอซา (Vittoriosa City Gate) ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากค่ะ! การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมเก่าแก่กับความทันสมัยในปัจจุบันช่วยสร้างบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์ และทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ในรูปแบบใหม่ เมื่อผ่านประตูเมืองแล้ว วงเวียนน้ำพุไทรทัน (Triton Fountain) ก็เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามมาก บรรยากาศที่เย็นสบายจากน้ำพุช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับพื้นที่รอบๆ และที่สำคัญยังเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างจัตุรัสรีพับบลิค (Republic Square) ซึ่งมีรูปปั้นสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียตั้งอยู่ สัญลักษณ์ที่สำคัญของยุคสมัยนั้น

ต่อมา วังของอินควิสเตอร์ (Inquisitor’s Palace) ก็มีความน่าสนใจในด้านประวัติศาสตร์ การเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาทำให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและความเป็นมาของชาวมอลตา ที่นี่คงเป็นที่ที่สามารถให้ข้อมูลลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี โรงละครมาโนเอล (Manoel Theatre) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ควรไปเยือน ความหรูหราของการตกแต่งและประวัติศาสตร์ของโรงละครนี้น่าสนใจมาก ถ้าได้มีโอกาสชมการแสดงก็คงจะได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างออกไป

สุดท้าย พระราชวังแกรนด์มาสเตอร์ (Grandmaster’s Palace) มีความสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และศิลปะ การได้ชมภาพวาดและจิตรกรรมฝาผนังสไตล์บารอกจะเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก! เห็นแล้วรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จริงๆ ค่ะ เที่ยวแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายแน่นอน!

เดินเล่นในตรอกซอกซอยของวาเลตตาก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากค่ะ! การได้เห็นการตกแต่งบ้านเรือนของผู้คนที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิดทำให้รู้สึกเหมือนได้เดินผ่านในภาพวาดที่สวยงามจริงๆ สวนบารัคคา (Barracca Gardens) ก็เป็นจุดที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ สวนลอยฟ้าที่สร้างขึ้นบนป้อมปราการเซนต์ปีเตอร์แอนด์พอลเป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะการขึ้นลิฟท์เหล็กที่สูงถึง 60 เมตร ทำให้ได้เห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของเมืองวาเลตตาและทะเลอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์ (The Grand Harbour) ที่ชัดเจนและสวยงามสุดๆ การที่มีพิธีการยิงปืนใหญ่ทุกวันก็เป็นการเพิ่มบรรยากาศให้กับการเยือนสวนนี้ให้มีความพิเศษมากขึ้นอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ทางทะเลมอลตา (The Malta Maritime Museum) ก็เป็นอีกที่ที่น่าสนใจมากค่ะ สมอเรือทำจากตะกั่วสมัยโรมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกคงจะทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ ส่วนอาวุธและเรือโบราณก็ช่วยให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางทะเลของมอลตาที่น่าสนใจ ป้อมปราการเซนต์เอลโม (Fort Saint Elmo) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะวิวที่มองเห็นท่าเรือมาร์ซักลอกก์และท่าเรือแกรนด์ฮาร์เบอร์ที่สวยงามมาก นอกจากนี้ การได้ชมพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งชาติและความทรงจำเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองทำให้เราเข้าใจถึงประวัติศาสตร์และความยากลำบากที่มอลตาผ่านมา อนุสรณ์ Siege Bell Memorial ก็เป็นจุดที่มีความสำคัญในการสดุดีผู้เสียสละในสงครามโลกครั้งที่สอง การตีระฆังในตอนเที่ยงทุกวันก็เป็นการทำให้ผู้คนได้ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความทรงจำและการเรียนรู้จริงๆ ค่ะ!

มหาวิหารเซนต์จอห์น (St John’s Co-Cathedral) ถือเป็นไฮไลท์ที่สำคัญของวาเลตตาจริงๆ ค่ะ ความสวยงามและความอลังการของสถาปัตยกรรมบารอกนั้นเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่หอคอยคู่ที่มีทั้งระฆังและนาฬิกา ซึ่งแสดงถึงความประณีตและความคิดสร้างสรรค์ของสถาปนิก Gerolamo Cassar เมื่อเข้าไปภายในมหาวิหารจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งความงามที่มีความหรูหรา ตกแต่งด้วยสีทองและหินอ่อนแกะสลัก โดยเฉพาะภาพวาดบนเพดานที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของอัศวินนักบุญเซนต์จอห์นที่ผ่านมานั้นมีความน่าสนใจมาก ส่วนภาพวาด “The Beheading of St John The Baptist” ของคาราวัจโจที่มีลายเซ็นด้วยเลือดของตัวเองนั้นถือเป็นของล้ำค่าที่ไม่ควรพลาดชม

สำหรับค่าเข้าชมที่ถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่ต้องจ่ายเพียง 10 ยูโร และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีสามารถเข้าฟรี เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นความงามและศิลปะชั้นสูง ป้อมเซนต์แองเจโล (Fort Saint Angelo) ก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของป้อมนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มันเป็นสถานที่ป้องกันที่ดี แต่ยังเป็นแหล่งต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์มอลตาอีกด้วย การได้ชิลล์ในร้านอาหารสีสันสดใสริมแม่น้ำบีร์กู และนั่งจิบกาแฟหรือน้ำไวน์เบาๆ ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายนั้นทำให้การเดินทางในวาเลตตาเต็มไปด้วยความสุข แนะนำให้หมั่นสำรวจรอบๆ ทั้งสองแห่งนี้เพื่อซึมซับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของมอลตาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนะคะ!

เมืองกอสปีกัว (Cospicua) หรือ Bormla เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่น่าสนใจในมอลตาเลยนะ! สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่มีความหลากหลายทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ยิ่งประวัติความเป็นมาที่เคยเป็นที่หลบภัยและเฝ้าระวังศัตรู ยิ่งทำให้รู้สึกถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมือง การที่เมืองนี้มีการฟื้นฟูและพัฒนาเป็นท่าเรือใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในด้านการค้าและเศรษฐกิจของมอลตาในอดีต และอนุสรณ์สถานสงครามก็ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการจดจำและเคารพผู้ที่เสียสละในสงคราม

โบสถ์โดมแห่งโมสตา (Rotunda of Mosta) ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าทึ่งมาก! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกที่ระเบิดไม่ทำงานเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าโบสถ์นี้มีความสำคัญทั้งในแง่ของสถาปัตยกรรมและทางศาสนา คุณมีแผนจะไปเยี่ยมชมสถานที่ไหนเพิ่มเติมในมอลตาหรือเปล่า?

เมืองเซงเกลีย (Senglea) มีเสน่ห์ไม่แพ้สามเมืองอื่นๆ เลยค่ะ การที่เมืองตั้งอยู่บนคาบสมุทรทำให้มีวิวทะเลที่สวยงาม น่าถ่ายรูปสุดๆ! โบสถ์ Basilica of the Nativity of Mary เป็นสถานที่สำคัญและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ด้วยการตกแต่งภายในที่ประณีต และการบูรณะที่ทำให้ยังคงความงดงามไว้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความศรัทธาและความเข้มแข็งของชาวเมืองหลังจากการถูกทำลาย สวน Gardjola ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ การแกะสลักรูปตา หู และนกเป็นสัญลักษณ์ที่น่าทึ่ง แสดงถึงการปกป้องชายฝั่ง และการที่สวนนี้อยู่ในตำแหน่งที่สูงสามารถมองเห็นวิวท่าเรือแกรนด์ฮาร์เบอร์ได้อีกด้วย กิจกรรมเฉลิมฉลองในวันที่ 31 มีนาคมและ 8 กันยายนก็น่าสนุกมาก! การแข่งขันเรือแบบดั้งเดิมและการประดับประดาไฟรอบเมืองสร้างบรรยากาศที่น่าตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา คุณมีสถานที่หรือกิจกรรมไหนในเซงเกลียที่ตั้งใจจะไปชมเป็นพิเศษไหม?

 

เที่ยวเกาะโกโซ (Gozo island)

เกาะโกโซ (Gozo) หรือที่เรียกว่าเกาะคาลิปโซ่ เป็นจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ! การนั่งเรือเฟอรี่จากท่า Cirkewwa ไปยัง Mgarr ใช้เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว นับว่าเป็นวิธีที่สะดวกและราคาไม่แพงเลย หน้าต่างแห่งอาซูเร (Azure Window) ที่ตั้งอยู่ที่อ่าวดเวราจา เป็นจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ แม้จะมีการถล่มลงไปในทะเล แต่ก็ยังมีความงดงามของธรรมชาติรอบๆ ให้ได้ชมอยู่ ยังไงก็ตาม โกโซยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย! เกาะหินเห็ด (Fungus Rock) ก็มีความสำคัญในด้านการแพทย์และการรักษาโรค รวมทั้งเป็นสถานที่ที่สวยงามสำหรับการถ่ายรูป และ ทะเลใน (Inland Sea) ก็เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางผ่านช่องอุโมงค์ที่มีวิวสวยงาม

เมืองมาร์ซาลฟอร์น (Marsalforn) เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนริมชายหาด มีทั้งร้านค้าและกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นน้ำ ดำน้ำลึก หรือดำน้ำตื้น นอกจากนี้ยังมีวิถีชีวิตของชาวประมงที่น่าสนใจและสามารถทำให้เราได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น คุณมีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนในโกโซเป็นพิเศษไหม?

 

ถ้ำคาลิปโซ่ (Calypso Cave) เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยตำนานและความโรแมนติก สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีความสวยงามทางธรรมชาติ แต่ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทพธิดาคาลิปโซ่และโอดิสซิอุสที่ทำให้มีบรรยากาศที่ซาบซึ้ง!

การเดินสำรวจภายในถ้ำที่มีทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวถือเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานมาก โดยเฉพาะการได้ว่ายน้ำในบลูโฮล (Blue Hole) ที่น่าทึ่งและเหมาะสำหรับการดำน้ำ ไม่เพียงแต่คุณจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำทะเล แต่ยังได้มีประสบการณ์เหมือนนางเงือกจริงๆ ที่ว่ายน้ำกับปลาอีกด้วย!

หอคอย De Redin ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่น่าชื่นชมมาก! การสร้างหอคอยเหล่านี้เพื่อป้องกันการโจมตีในอดีตแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ในการป้องกันประเทศของชาวมอลตา โครงสร้างที่สูงและรูปทรงที่โดดเด่นทำให้หอคอยเหล่านี้กลายเป็นจุดชมวิวที่ดี

คุณมีแผนจะไปทำกิจกรรมอะไรเพิ่มเติมในโกโซไหม? เช่น ดำน้ำหรือสำรวจสถานที่อื่นๆ?

 

เที่ยวเมืองเอ็มดิน่า (Mdina)

เมืองหลวงเก่าของมอลตา อายุประมาณ 1,500 – 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บนเนินเขาความสูงประมาณ 150 เมตร จากระดับน้ำทะเล สร้างขึ้นในช่วงการปกครองของอาหรับเชื้อสายฟินิเชีย (Phoenician) ศิลปะยุคกลาง สไตล์ Medieval ผสมผสานสถาปัตยกรรมระหว่างอาหรับ และยุโรป จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาดูได้ยาก ภายนอกเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงสูงสีทอง ภายในมีทั้งพระราชวัง พิพิธภัณฑ์ โบสถ์ จัตุรัส สวนสวย บ้านพักที่มีคนอาศัยอยู่ราว 300 คนเท่านั้นเอง ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เมืองแห่งความสงบเงียบ (Silent City) ที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมได้สมกับเป็นหนึ่งในมรดกโลกของมอลตา ก่อนเข้าไปสู่เมืองเอ็มมิน่า เราจะเห็นประตูเมือง (The Main Gate) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1724 รูปทรงโค้งสถาปัตยกรรมยุคบารอก เป็นจุดเช็คอินที่ต้องมาเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานสักหน่อย เพราะแค่เห็นหน้าประตู ก็ยังกับหลุดไปในโลกเทพนิยายกรีกโรมัน ที่มีอัศวินขี่ม้าขาวรอเจ้าหญิงอย่างเราอยู่ในเมืองแห่งความฝันแล้วจ้า #อร้ายๆ ><.

ก้าวผ่านพ้นประตูเมืองไป เราก็จะพบกับ พระราชวัง Magisterial Palace สไตล์ฝรั่งเศสแบบบารอก สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1726 ถึง ค.ศ.1728  ในช่วงการเกิดอหิวาตกโรคระบาดไปทั่วในยุโรป เคยใช้สถานที่เป็นโรงพยาบาลรักษาผู้คนชั่วคราว ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ National Museum of Natural History ด้านในเต็มไปด้วยคอลเลกชั่นประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ฟอสซิลสัตว์ พืชพรรณ และหินแร่ธาตุหายากของมอลติส

มหาวิหารเซนต์พอล (Saint Paul Cathedral) หรือ มหาวิหารเอ็มดิน่า (Mdina Cathedral) เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนมอลตา! สถาปัตยกรรมบารอกที่งดงาม ผสมผสานกับเอกลักษณ์มอลติส ทำให้มหาวิหารแห่งนี้มีความน่าสนใจและน่าตื่นตาตื่นใจ ภายในมหาวิหารตกแต่งด้วยสีทอง สีแดง และสีขาวอย่างสวยงาม แท่นบูชาที่แกะสลักอย่างละเอียดก็เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสงบเงียบ รวมถึงพื้นหินอ่อนที่มีลวดลายสวยงามบอกเล่าถึงประวัติของนักบุญ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลาไปในอดีต

การเดินเล่นตามตรอกซอกซอยของเอ็มดิน่าที่มีบ้านเรือนสีเหลืองอ่อนและบานประตูสีสดใสทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแฟนตาซี บรรยากาศที่นี่เหมาะกับการถ่ายรูปและใช้เวลาชิลล์มาก ๆ การนั่งม้าชมเมืองก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าประทับใจ! เส้นทางที่ผ่านจัตุรัสเมสควิตา (Mesquita Square) ที่เคยเป็นฉากในซีรีย์ Game of Thrones ยิ่งทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก คุณมีแผนจะไปชมที่ไหนเพิ่มเติมในเอ็มดิน่าไหม? หรือว่ามีสถานที่ไหนในมอลตาที่คุณสนใจ?

 

พิพิธภัณฑ์ Cathedral Museum เป็นสถานที่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์และศิลปะ ศูนย์กลางการจัดแสดงคอลเลกชันที่หลากหลาย เช่น รูปปั้น ภาพวาด และเหรียญโบราณ ช่วยให้เราเข้าใจและสัมผัสกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของมอลตาในยุคต่างๆ การได้เห็นของเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เหล่านี้จะสร้างความรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนเวลาไปยังอดีต หอคอย Torre Dello Stendardo ก็มีประวัติที่น่าสนใจเช่นกัน การสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นหอสังเกตการณ์ในสมัยก่อน เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับภาวะสงครามในอดีต อีกทั้งการที่มันกลายเป็นสถานีตำรวจในปัจจุบันทำให้เรามีโอกาสได้เห็นการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างเก่าแก่ในยุคใหม่

การเดินชิลล์ผ่านถนนในเอ็มดิน่าที่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศสงบ และอาคารเก่าแก่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของภาพฝัน และเหมาะสำหรับการหยุดพักและเพลิดเพลินไปกับกาแฟสักแก้ว ขณะชมความสวยงามของเมือง หากคุณมีโอกาสได้เยือนสถานที่เหล่านี้ คุณสามารถค้นพบความงดงามและประวัติศาสตร์ที่หลากหลายได้มากมาย! คุณสนใจจะไปเยือนที่ไหนในมอลตาต่อไปอีกไหม?

 

เที่ยวเมืองราบัต (Rabat) 

ราบัตหรือวิกตอเรียในเกาะโกโซเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย น่าสนใจอย่างยิ่งว่าเมืองนี้ได้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เมื่อเดินผ่านป้อมปราการวิคตอเรียที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 จะเห็นถึงความแข็งแกร่งและความงามของสถาปัตยกรรมที่ยืนหยัดมาตั้งแต่อดีต  วิหารวิกตอเรีย (Cathedral of the Assumption) เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจมาก ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมที่หรูหราและศิลปะการตกแต่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมมอลตา ภายในโบสถ์มีการตกแต่งที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง และเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวและชาวบ้านต่างก็ให้ความเคารพ

อีกทั้ง ถนนเล็กๆ ในเมืองที่เต็มไปด้วยภาพวาดและรูปปั้น ยังเป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ในโลกแห่งประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George’s Basilica) ที่มีความสวยงามและบรรยากาศที่สงบ ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การนั่งจิบชาและผ่อนคลายในบรรยากาศที่เงียบสงบ คุณสนใจที่จะสำรวจที่ไหนในโกโซเพิ่มเติมไหม?

เทวสถานหินใหญ่แห่งมอลตา (The Megalithic Temples of Malta) เป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญของมอลตา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในปี ค.ศ. 1980 ตั้งอยู่บนเกาะโกโซ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่าง 3600 – 2200 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นวิหารหินขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่บนเกาะ และเป็นหนึ่งในศาสนสถานวิหารหินเก่าแก่ที่สุดในโลก

วิหารอัลซาฟลิเอนิไฮบเจียม (Hal-Saflieni Hypogeum) เป็นวิหารใต้ดินที่มีความลึกประมาณ 12 เมตร มีบันไดวนและทางเดินแคบๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ด้านในแบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ และมีการตกแต่งด้วยภาพวาดและหินแกะสลักตามฝาผนัง โดยมีการค้นพบรูปปั้นผู้หญิงนอน “The Sleeping Lady” ที่ถือเป็นวัตถุโบราณอันทรงคุณค่าของมอลตา

วิหารจกันติยา (Ggantija Temples) มีตำนานเล่าว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์เป็นผู้สร้างขึ้น เนื่องจากขนาดของก้อนหินน้ำหนักมากกว่า 50 ตัน วิหารทาร์เซียน (Tarxien Temples) ได้ค้นพบแท่นบูชาและรูปปั้นหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 2.50 เมตร วิหารมนัจดรา (Mnajdra Temple) มีห้องลับซ่อนอยู่ตามผนังหิน ส่วนวิหารฮาการ์ คิม (Hagar Qim Temple) มีโครงสร้างภายนอกเป็นหินขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านในถูกจัดเรียงเป็นห้อง

สุดท้าย วิหารสกอร์บา (Skorba Temple) มีการค้นพบข้าวของเครื่องใช้และภาชนะดินเผาที่แสดงให้เห็นถึงวิถีการดำรงชีวิตในอดีต ปัจจุบันได้มีการนำผ้าใบมาคลุมเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการกัดกร่อนจากสภาพอากาศ และวัตถุโบราณจากวิหารทั้ง 6 แห่งถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในมอลตา

 

เที่ยวหมู่บ้านป๊อปอาย (Popeye’s Village)

หมู่บ้านป๊อปอาย หรือ   สวีทเฮฟเว่น วิลเลจ  (Sweet haven  Village) เป็นเกาะริมทะเลน่ารัก คิ้วท์ๆ >v< ตั้งอยู่ในอ่าวแองเคอร์ (Anchor Bay) เป็นหมู่บ้านเรือประมงริมทะเล สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1980 เพื่อเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เพลงเรื่องป๊อปอาย ของ Paramount Pictures และ Walt Disney Productions นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียม การ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวตลกผจญภัยที่โด่งดัง และป๊อปอายกะลาสีเรือมีเอกลักษณ์จากการคาบไปป์ กินผักโขมเเพื่อพิ่มพลัง จะได้มีแรงไปช่วยโอลีฟออยล์สาวคนรัก ที่มักจะถูกลวมลามรังแก จากบรูโตจอมซ่าส์ที่เป็นทั้งคู่กัด และคู่แข่งทางหัวใจ ซึ่งจากความโด่งดังของการ์ตูนป๊อปอาย บวกกับบรรยากาศที่โรแมนติกริมทะเล ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดชาร์ท และคู่รักจำนวนก็ชอบมาถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยจ๊ะ

บ้านไม้ริมทะเลสีสันแซ่บจี๊ดจ๊าดสดใส ^0^ สร้างขึ้นจากไม้ที่มาจากประเทศฮอล์แลนด์ และแคนาดา ทั้งหมดจำนวน 19 หลัง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งริมทะเลหลังจากที่ถ่ายภาพยนตร์เสร็จสิ้น ภายในหมู่บ้านตกแต่งด้วยรูปปั้นของตัวละครมากมายทั้ง ป๊อปอาย โอลีฟ ออยล์ บลูโต สวีทพี วิมปีน บ้านแต่ละหลังเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สไตล์วินเทจ คลาสิกแบบเท่ห์ๆ ระหว่างวันจะมีขบวนพาเหรดตัวการ์ตูนจำลองออกมา ร้องเพลงเต้นรำถ่ายรูปคู่กัน เล่นเกมส์ เพ้นท์หน้า เล่นน้ำ ล่องเรือชมเมืองกันอย่างสนุกสนาน  หรือจะพักเติมพลังนั่งพักจิบกาแฟ ชิมเค้ก ปิ้งบาร์บีคิว ทานอาหารริมทะลก็มีเมนูให้เลือกหลากหลาย นอกจากความสนุกแล้ว ความปลอดภัยก็เป็นเริ่ดค่า เพราะว่าบ้านไม้ทุกหลังติดตั้งเครื่องดับเพลิง สร้างมั่นใจให้เที่ยวได้อย่างสบายใจด้วยจ้า

การเดินทางสามารถนั่งเรือ หรือรถบัสจากวัลเลตตา สาย 41 หรือ 42 ไปลงที่ Mellieha Centre แล้วต่อสาย 101 ไปลงที่หมู่บ้านป๊อปอายได้ เปิดให้เข้าเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ เดือน พ.ย. – มี.ค. เวลา 9.30 – 16.30 น. ช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. และ ก.ย. – ต.ค. เวลา 9.30 – 17.30 น. และสุดท้ายช่วง ก.ค. – ส.ค. เวลา 9.30 – 19.00 น.

 

เที่ยวบลูลากูนแห่งเกาะโคมิโน (Blue Lagoon Island of Comino)

เกาะโคมิโน (Comino) เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 3.5 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างเกาะมอลตาและโกโซ ในอดีตเคยเป็นคุกที่ใช้สำหรับคุมขังนักโทษ เนื่องจากมีทะเลล้อมรอบและเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ทำให้เกาะนี้มีความเงียบสงบ มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึงสิบคน แต่กลับเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย

บลูลากูน (Blue Lagoon) เป็นหนึ่งในจุดเด่นของเกาะนี้ มีน้ำทะเลสีฟ้าใสสะอาดราวกับแก้วคริสตัล โดยเฉพาะเมื่อแสงแดดตกกระทบที่หาดทรายสีขาวในอ่าวซานตามาริจา (Santa Marija Bay) และอ่าวซานนิกลาว (San Niklaw Bay) ระหว่างวันมักมีเรือนักท่องเที่ยวเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำ ดำน้ำตื้น และดำน้ำลึกเพื่อชมปะการังได้

สำหรับผู้ที่สนใจการเดินป่า ปีนเขา หรือตั้งแคมป์บนเกาะ ตามรอยภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง Troy ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์ก็สามารถทำได้ นอกจากนี้ยังมีทริป Comino – Blue Lagoon Day Trip ให้เลือกหลากหลายออปชั่น โดยค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 10 ยูโรสำหรับการข้ามเรือไปกลับและเล่นน้ำที่จุดเดียว หรือแพ็คเกจยอดนิยมที่มีการแวะเล่นน้ำ 3-4 แห่งในราคาประมาณ 25-35 ยูโร ซึ่งรวมถึงอาหารกลางวันและเครื่องดื่มฟรีตลอดวัน การเยี่ยมชมเกาะโคมิโนจึงเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้ได้พักผ่อนและชาร์จพลังให้กับตัวเองอย่างเต็มที่

 

เที่ยวถ้ำบลูกร็อตโต้ (Blue Grotto)

การเยี่ยมชมถ้ำบลูกร็อตโต้ (Blue Grotto) เป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติที่ไม่ควรพลาด! ความมหัศจรรย์ของถ้ำนี้มาจากการที่แสงแดดส่องเข้ามาทางปากถ้ำ ทำให้เกิดการสะท้อนบนผนังและเพดานถ้ำ และลำแสงตกกระทบกับน้ำทะเลสีคราม ทำให้เกิดประกายวิบวับที่งดงามอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 30 เมตร และถ้ำเล็กๆ ตามหน้าผาริมทะเลจำนวน 7 แห่ง ซึ่งสามารถเข้าไปชมความงามได้โดยการนั่งเรือ การเดินทางไปยังบลูกร็อตโต้มีความสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น การส่องสว่างของพระอาทิตย์ ระดับน้ำทะเล กระแสน้ำ และความแรงของลม เพราะความงดงามจะแตกต่างกันไปตามสภาพอากาศ

สำหรับการเดินทาง คุณสามารถซื้อทริปเรือจากท่าเรือ Wied iz-Zurrieq โดยมีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใหญ่คนละ 8 ยูโร และเด็ก 4 ยูโร ซึ่งเรือจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการเดินทางออกไปยังถ้ำ โดยแต่ละลำสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 10 คน และทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย เมื่อไปถึงที่นั่น คุณจะได้สัมผัสกับความงามที่ไม่เหมือนใครและได้ทำกิจกรรมว่ายน้ำในน้ำทะเลที่ใสสะอาด เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจจริงๆ!

 

เที่ยวหน้าผาดิงลี (Dingli Cliffs)

การเยี่ยมชมหน้าผาดิงลี (Dingli Cliffs) เป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและโรแมนติกอย่างแท้จริง! ความสูงของหน้าผาถึง 253 เมตรจากระดับน้ำทะเลทำให้คุณได้ชมวิวท้องทะเลสีครามที่กว้างไกลสุดสายตาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การนั่งรถเลาะไปตามริมหน้าผาแล้วมองออกไปจะทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ศูนย์ปฏิบัติการเรดาร์ชายฝั่งที่มีรูปร่างคล้ายลูกกอล์ฟขนาดใหญ่ และทุ่งหญ้าดอกไม้ป่าสีสันสดใสทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นอกจากนี้ เก้าอี้ไม้คลาสสิกที่เรียงรายอยู่บนหน้าผาก็เป็นจุดพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้คุณได้ชมวิวแบบพาโนรามาได้อย่างสบายใจ

โบสถ์เล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอุทิศให้กับ Saint Mary Magdalene เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการชมพระอาทิตย์ตกดิน โดยเฉพาะในช่วงเย็นที่อากาศไม่ร้อนเกินไป พระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินจะสร้างบรรยากาศสุดโรแมนติกให้กับคู่รัก ซึ่งสามารถทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในภาพยนตร์รักที่มีท้องฟ้าและน้ำทะเลเป็นสักขีพยานให้กับความรักของคุณ คิดถึงความงามและบรรยากาศเช่นนี้ทำให้ใจฟูและสุขใจจริงๆ! การมาเที่ยวที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้เห็นธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความทรงจำอันงดงามอีกด้วย!

 

เที่ยวหมู่บ้านประมง มาร์ซักลอกก์ (Marsaxlokk Fishing Village)

หมู่บ้านประมงมาร์ซักลอกก์ (Marsaxlokk) เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และบรรยากาศที่น่าหลงใหลอย่างแท้จริง! ท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของมอลตานี้เต็มไปด้วยเรือประมงพื้นเมืองหรือ Luzzus ที่มีสีสันสดใสและรูปทรงที่ไม่ซ้ำใคร ทำให้บรรยากาศที่นี่สดใสและมีชีวิตชีวา การสังเกตตาของผู้พิทักษ์ (Eye of Horus หรือ Eye of Osiris) ที่อยู่บริเวณด้านหน้าของเรือแต่ละลำเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจและมีความหมายลึกซึ้ง เชื่อว่ามันจะช่วยคุ้มครองชาวประมงขณะออกเรือได้อย่างปลอดภัย โบสถ์มาร์แมกซ์ลอกก์ (Marsaxlokk Parish Church) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังท่าเรือก็เป็นสถานที่ที่ควรไปเยี่ยมชม

โบสถ์นี้มีการตกแต่งภายในที่งดงาม ด้วยสีขาว สีแดง และการปิดทองคำที่ลงตัว ตลาดนัดที่จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์หน้าของโบสถ์ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่น่าสนใจ มีทั้งเสื้อผ้า ขนมกินเล่น และของที่ระลึกที่มีราคาไม่แพง โบสถ์คาร์เมไลท์ (Carmelite Church) ที่อยู่ใกล้เคียงก็เป็นสถาปัตยกรรมแบบบารอกที่สวยงาม และเป็นที่รู้จักในฐานะโบสถ์ที่มียอดโดมที่สูงที่สุดในมอลตา ยิ่งทำให้คุณสามารถสัมผัสกับประวัติศาสตร์และศิลปะในยุคต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ป้อมปราการเดลีมารา (Fort Delimara) และหอคอยเซนต์ลูเซีย (St. Lucian Tower) ก็เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์ทางทหาร มีการเปิดให้เยี่ยมชมและเรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันชายฝั่งในอดีต บรรยากาศโดยรวมของมาร์ซักลอกก์มีทั้งความสงบและสีสัน ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสัมผัสชีวิตประจำวันของชาวมอลตาในแบบดั้งเดิม!

 

เที่ยวเซลีมา และมหาวิหารเซนต์จูเลียน (Sliema and Saint Julians)

เซลีมา (Sliema) เป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศหลากหลาย ตั้งแต่ความเงียบสงบของอดีตหมู่บ้านประมงจนถึงความมีชีวิตชีวาในปัจจุบัน ชายฝั่งทะเลที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนและวิลล่าสไตล์วิคตอเรียนั้นทำให้ที่นี่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ถนนในเมืองที่ตั้งชื่อตามสถานที่สำคัญในอังกฤษเพิ่มความรู้สึกถึงวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลจากอดีต การเดินเล่นตามชายหาดในช่วงเย็นเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะจาก Qui-Si-Sana ถึง St Julian’s ที่มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยบ้านโบราณที่มีประตูสีสันสดใสและระเบียงตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายสี ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในภาพยนตร์โรแมนติก

ยามค่ำคืนที่เซลีมาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แสงไฟจากผับและบาร์ริมทะเลทำให้บรรยากาศมีความสนุกสนานและน่าตื่นเต้น เป็นที่นิยมสำหรับคนรักไนท์ไลฟ์ที่จะมาสังสรรค์กัน ในตอนกลางวัน เซลีมายังเป็นย่านเศรษฐกิจและการค้าที่มีความคึกคัก โดยเฉพาะที่ The Point ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีทั้งร้านค้าแบรนด์ดังและร้านอาหารที่หลากหลาย คู่รักที่มาเยือนสามารถเดินข้ามสะพานกุญแจแห่งรักเพื่อคล้องกุญแจแห่งรัก และอธิษฐานให้ความรักมั่นคงและยืนยาว ซึ่งเป็นประเพณีที่น่ารักและโรแมนติกมาก The Point ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งช็อปปิ้งและความบันเทิง แต่ยังมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของป้อมปราการวัลเลตตาและแกรนด์ฮาร์เบอร์ ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการใช้เวลาร่วมกับคนที่คุณรักและสัมผัสบรรยากาศของมอลตาอย่างเต็มที่!

 

รวบรวมสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวรอบโลก

เที่ยวนอก